ภาวะบาดเจ็บทางสมองและการบกพร่องทางอารมณ์กับการรักษาด้วยกะโหลกเทียม
กะโหลกเทียมแนวทางในการฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางอารมณ์ในผู้ป่วยที่บาดเจ็บทางสมอง
ไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าในปัจจุบันนี้ ภาวะบาดเจ็บทางสมอง (Traumatic Brain Injury: TBI) นับได้ว่าเป็นหนึ่งในปัญหาทางด้านสุขภาพและสาธารณสุขที่ทั่วโลกกำลังหันมาให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในแต่ละปี มีผู้ป่วยมากถึง 42 ล้านรายจากทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับภาวะสมองบาดเจ็บทั้งในระดับเล็กน้อยที่ร่างกายสามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เอง และในระดับรุนแรงที่ผู้ป่วยจำเป็นจะต้องใช้กะโหลกเทียมเป็นตัวช่วยในการผ่าตัดรักษา หลังจากที่ได้เข้ารับการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะเพื่อรักษาอาการสมองบวมหรือเลือดออกในสมองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยถึงแม้ว่าผู้ป่วยสมองบาดเจ็บกว่า 70-90% จะมีอาการบาดเจ็บอยู่ในระดับเล็กน้อย (Mild Traumatic Brain Injury: MTBI) ซึ่งไม่ได้มีความรุนแรงจนถึงขั้นที่จะต้องมีการใช้งานกะโหลกเทียมหรือนำไปสู่การเสียชีวิต แต่ภาวะบาดเจ็บทางสมองก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจของผู้ป่วยได้ไม่น้อยเช่นกัน
ภาวะบาดเจ็บทางสมองและการบกพร่องทางอารมณ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?
สมอง (Brain) เป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญของร่างกายที่ทำหน้าที่ในการช่วยควบคุมความคิด ความจำ การมองเห็น การหายใจ อารมณ์ ความรู้สึก ตลอดจนทักษะในการเคลื่อนไหวและการควบคุมร่างกาย ดังนั้น เมื่อสมองเกิดการบาดเจ็บหรือได้รับการกระทบกระเทือน ไม่ว่าจะด้วยการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ การเกิดอุบัติเหตุในขณะที่กำลังเล่นกีฬา การพลัดตกจากที่สูง หรือการหกล้มจนก่อให้เกิดภาวะบาดเจ็บทางสมองนั้น ก็ย่อมเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การทำงานอันสลับซับซ้อนของสมองเกิดการบกพร่อง ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถทั้งในการควบคุมร่างกายและการควบคุมอารมณ์ที่บกพร่องตามไปด้วย
โดยเมื่อร่างกายของคนเราประสบกับภาวะบาดเจ็บทางสมอง หนึ่งในของผิดปกติในระยะปฐมภูมิ (Primary Injury) ที่เราสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนมากที่สุดในทันที คือ อาการสับสน มึนงง อ่อนแรง สูญเสียการทรงตัว หมดสติ ศีรษะบวมโน หรือกะโหลกแตกยุบ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เนื้อเยื่อและโครงสร้างของเซลล์ประสาทเกิดการฉีกขาดหรือได้รับบาดเจ็บ จนส่งผลทำให้อัตราการไหลเวียนของเลือดภายในสมองลดลง
หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงทุติยภูมิ (Secondary Injury) ซึ่งจะเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังจากการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ โดยอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ในทันทีหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ หรืออาจต้องใช้เวลานานเป็นนาที เป็นชั่วโมง หรือเป็นวัน ก่อนที่จะมีความผิดปกติ อาทิ ภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง ภาวะเลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ หรือภาวะสมองบวม ที่นำไปสู่การต้องผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะและต้องใช้กะโหลกเทียม ตลอดจนกลุ่มอาการภายหลังสมองได้รับการกระทบกระเทือน (Post-Concussion Syndrome: PCS)
กลุ่มอาการ PCS และภาวะบกพร่องทางอารมณ์ในผู้ป่วย TBI
กลุ่มอาการ PCS (Post-Concussion Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ผู้ป่วยประสบกับภาวะบาดเจ็บทางสมอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วกลุ่มอาการ PCS มักจะพบมากในผู้ป่วยที่มีอาการสมองบาดเจ็บอยู่ในระดับเล็กน้อย (Mild Traumatic Brain Injury: MTBI) ในอัตราประมาณ 56-86% โดยกลุ่มอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของการบาดเจ็บไปจนถึงระยะเวลาหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น โดยมีผลสำรวจระบุว่า ผู้ป่วยภาวะบาดเจ็บทางสมอง 24-84% ประสบกับกลุ่มอาการ PCS เป็นระยะเวลา 3-6 เดือนหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ และมีผู้ป่วยภาวะบาดเจ็บทางสมองอีก 7-50% ที่ประสบกับกลุ่มอาการ PCS และมีอาการดังกล่าวหลงเหลืออยู่นานถึง 1 ปี
โดยกลุ่มอาการ PCS จะทำให้ผู้ป่วยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย การรู้สึกนึกคิด และมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ผิดแปลกไปจากเดิม ซึ่งจะสามารถจำแนกออกได้เป็น 4 ด้านหลัก ๆ ได้แก่
- ด้านร่างกาย (Physical) อาทิ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดต้นคอ เดินเซ เหนื่อยเพลีย คลื่นไส้ หรืออาเจียน
- ด้านการรู้คิด (Cognition) อาทิ สับสน มึนงง คิดช้า สมาธิลดลง หลงลืมง่าย
- ด้านการมองเห็น (Vision) อาทิ มองเห็นภาพซ้อน มองเห็นภาพไม่ชัดเจน ตาไวต่อแสงมากขึ้น
- ด้านพฤติกรรมและอารมณ์ (Behavioral or Emotional) อาทิ กระสับกระส่าย กระวนกระวาย วิตกกังวล ความอดทนต่ำ ซึมเศร้า โกรธหรือหงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ นอนหลับได้น้อยหรือนอนหลับได้มากผิดปกติ
จากผลสำรวจผู้ป่วยที่มีอาการสมองบาดเจ็บอยู่ในระดับเล็กน้อย (Mild Traumatic Brain Injury: MTBI) ยังได้มีการระบุอีกว่า ภายหลังจากการประสบกับภาวะบาดเจ็บทางสมอง 2-52 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีกลุ่มอาการภายหลังสมองได้รับการกระทบกระเทือน (PCS) เกิดขึ้นเฉลี่ยประมาณ 10 อาการ โดยอาการที่พบบ่อยมักจะอยู่ในรูปของการปวดเวียนศีรษะ เหนื่อยล้า ซึมเศร้า และคิดนานมากขึ้น จนส่งผลต่อความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน การทำงาน การเข้าสังคม และคุณภาพชีวิตที่ลดลง
แนวทางการรักษาภาวะบกพร่องทางอารมณ์ในผู้ป่วย TBI
ในปัจจุบันนี้ แนวทางการฟื้นฟูผู้ป่วยในกลุ่มอาการภายหลังสมองได้รับการกระทบกระเทือน (Post-Concussion Syndrome: PCS) เพื่อเป้าหมายที่สำคัญในการช่วยทำให้ผู้ป่วยภาวะบาดเจ็บทางสมองสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้นอีกครั้ง สามารถทำได้ทั้งหมด 2 แนวทาง ได้แก่ การฟื้นฟูทั่วไป และการฟื้นฟูสภาพเฉพาะ
- การฟื้นฟูทั่วไป
ในการฟื้นฟูผู้ป่วยภาวะบาดเจ็บทางสมองแบบทั่วไป การพัก (Rest) นับได้ว่าเป็นหนึ่งในแนวทางการฟื้นฟูลำดับแรกที่ทางทีมแพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดภายในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมงแรกหลังจากที่สมองบาดเจ็บ โดยผู้ป่วยควรพักผ่อนทางด้านร่างกายโดยหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย การยกของหนัก และกิจกรรมทางเพศ ร่วมกับการพักผ่อนทางด้านความคิด โดยหลีกเลี่ยงการใช้ความคิดหรือจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นระยะเวลานาน ๆ อาทิ การอ่านหนังสือ การดูโทรทัศน์ หรือการเล่นเกม เป็นต้น และนอกจากนี้ทีมแพทย์ก็จะยังมีการให้ความรู้ต่าง ๆ แก่ผู้ป่วยในการจัดการและฟื้นฟูภาวะบาดเจ็บทางสมองอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือและปรับตัวต่ออาการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ดีมากยิ่งขึ้นโดยภายหลังจากที่ผู้ป่วยสามารถกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้แล้ว ทีมแพทย์ก็จะแนะนำให้ผู้ป่วยหมั่นสังเกตและประเมินความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง อาทิ อาการในกลุ่ม PCS อยู่เสมอ เพื่อการกลับมาเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีหากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารเสพติด ร่วมกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ตลอดจนอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน E และอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวอย่าง Omega-3 และ DHA ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกดี ๆ ที่จะสามารถช่วยทำให้เซลล์ประสาทสามารถฟื้นตัวได้ดีมากขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดกลุ่มอาการ PCS ในระยะยาวได้ - การฟื้นฟูสภาพเฉพาะ
ในกรณีที่ผู้ป่วยภาวะบาดเจ็บทางสมองประสบกับอาการภายหลังสมองได้รับการกระทบกระเทือน (Post-Concussion Syndrome: PCS) ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติต่าง ๆ เกิดขึ้น ทางทีมแพทย์จะมีการแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการฟื้นฟูสภาพเฉพาะ เพื่อประโยชน์ในการช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง โดยการฟื้นฟูสภาพเฉพาะจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ด้านหลัก ๆ ได้แก่- การฟื้นฟูด้านร่างกาย (Physical ) : โดยเริ่มต้นจากการออกกำลังกายแบบเบา ๆ อย่าง การเดิน การว่ายน้ำ หรือการปั่นจักรยาน ร่วมกับการออกกำลังกายด้วยการบริหารต้นคอแบบ Deep Flexor Neck Exercise เพื่อช่วยลดอาการปวดศีรษะและช่วยให้เลือดสามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดีมากยิ่งขึ้น
- การฟื้นฟูด้านสมดุลการทรงตัวและการมองเห็น (Vestibulo-Occular Therapy) : ผ่านการออกกำลังกายแบบ Eye-head Coordination Exercise, Standing Static Balance Exercise และ Ambulatory Exercise ที่จะสามารถช่วยฟื้นฟูสมดุลการทรงตัวและการมองเห็น ตลอดจนสามารถช่วยลดอาการเดินเซหรืออาการเวียนศีรษะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การฟื้นฟูด้านการรู้คิด (Cognitive) : สำหรับผู้ป่วยภาวะบาดเจ็บทางสมองที่มีภาวะบกพร่องทางอารมณ์ การฟื้นฟูด้วยวิธี Cognitive Behavior Therapy ร่วมกับการช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดภายในสมองจะช่วยทำให้ผู้ป่วยมีการรู้คิดที่ดีขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยลดอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าลงได้ นอกจากนี้การเล่นเกมไขปริศนาต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยการคิดและวิเคราะห์ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกดี ๆ ที่สามารถช่วยฟื้นฟูด้านการรู้คิดของผู้ป่วยได้ดีไม่แพ้กัน
Meticuly คือ บริษัทผู้ผลิตกระดูกเทียมและกะโหลกเทียมไทเทเนียมรายแรกของประเทศไทย ที่เป็นเจ้าของการออกแบบและกระบวนการผลิตที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO และ USFDA ซึ่งเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับแพทย์และผู้ป่วยทุกท่านได้ว่า สิ่งที่ท่านได้รับเป็นกระดูกเทียมไทเทเนียมและกะโหลกเทียมไทเทเนียมจากฝีมือคนไทยที่มีคุณภาพสูงสุดในระดับสากล และเป็นทางเลือกในการรักษาที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะอย่างแท้จริง
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ :
บริษัท เมติคูลี่ จำกัด
Email : [email protected]
Facebook : meticuly
LinkedIn : meticuly
Line : @meticuly
โทรศัพท์ : 02 334 0539